เงินติดบ้าน : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล
เวลาพูดถึง “เงินสดในบ้าน” หรือการเก็บเงินสดไว้ในบ้านจำนวนมากๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกไปถึงข้าราชการหรือนักการเมืองที่มักมี “ข่าวลือ” บ้าง หรือ “ข่าวจริง” บ้างว่า หลายคนเก็บเงินสดๆ ไว้เป็นจำนวนมหาศาล และร้อยละเก้าสิบของข่าวลือและข่าวจริง มักเป็น “ข่าวไม่ดี” ทั้งนั้น
เพราะเรามักจะคิดกันว่า คนดีๆ ที่ไหนจะเก็บเงินสดไว้ในบ้านเป็นจำนวนมากๆ ไหนจะเสี่ยงต่อการเก็บรักษา เสี่ยงต่อมิจฉาชีพ หนำซ้ำยังไม่มีดอกผล สู้ฝากไว้กับแบงก์ทั้งปลอดภัย ทั้งมีดอกเบี้ย ไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้น ใครบ้าระห่ำเก็บเงินไว้ในบ้าน ก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่ชอบมาพากล
ถึงวันนี้ อาจจะต้องบอกว่า ความคิดที่ว่าอาจจะต้องเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุกับ “ไซปรัส” หลังจากที่ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ประสบภาวะวิกฤติทางการเงิน จนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ธนาคารทุกแห่งในไซปรัสต้องปิดทำการ และประชาชนชาวไซปรัสสามารถเบิกเงิน (ของตัวเอง) จากตู้เอทีเอ็มได้เพียงวันละ 100 ยูโรเท่านั้น
เข้าทำนองว่า “ถึงมีเงินมากแค่ไหน แต่ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี”
ล่วงมาจนถึงวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ไซปรัสได้เปิดทำการธนาคารทุกแห่งอีกครั้ง แต่ก็อยู่ภายใต้มาตรการจำกัดวงเงินในการถอนไม่เกินวันละ 300 ยูโรหรือ 19,000 บาท ห้ามการทำธุรกรรมด้วยเช็ค และจำกัดการใช้บัตรเครดิตของธนาคารไซปรัสในต่างประเทศ
ว่ากันว่า “จีโฟร์เอส” ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกของอังกฤษ ที่ทำหน้าที่ขนเงินสดไปให้ธนาคารในไซปรัสต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และต้องส่งทีมไปทำงานร่วมกับตำรวจ เพื่อคุ้มกันขณะนำเงินเข้าตู้เอทีเอ็ม และจัดวางกำลังอารักขาความปลอดภัยให้กับธนาคารตอนที่เปิดทำการ
แม้ “จีโฟร์เอส” จะบอกว่า ประชาชนชาวไซปรัสไม่ได้แตกตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องเศร้าที่เงินของเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่มีสิทธิ์ใช้ เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจมาเยือน ซึ่งประเทศไทยในฐานะรุ่นพี่ก็เคยเจอมาแล้ว ในช่วงประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ที่ตามมาด้วยการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง
จำได้ว่า ในครั้งนั้น คนฝากเงินกับไฟแนนซ์มี 2 ทางเลือก หนึ่ง คือ ถอนเงินที่ฝากไว้คืนได้ แต่ไม่ครบตามจำนวนที่ฝาก หรือสอง แช่แข็งเงินไว้จนครบกำหนด 3 ปีแล้วได้คืนครบทั้งจำนวน ซึ่งจริงๆ แล้ว น่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ขออภัยที่ไม่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่ม เพราะคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
เพราะประเด็นสำคัญ อยู่ที่ว่า เมื่อไหร่ที่ธนาคารไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุด และเมื่อไหร่ที่เงินฝากในธนาคารไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องใกล้เคียงเงินสดมากที่สุด เมื่อนั้น เราอาจจะต้องเก็บเงินไว้ที่บ้าน เรื่อง “ใส่ไหฝังดิน” ก็ไม่ใช่เรื่องขำๆ อีกต่อไป
แม้ไม่พูดถึงช่วง “วิกฤติ” ที่ความน่าเชื่อถือในสถาบันการเงินหมดไป แต่ในยามปกติ เราทั้งหลายก็ล้วนต้องมี “เงินสดติดบ้าน” กันทั้งนั้น
คำถามคือ ต้องมีเท่าไหร่ถึงจะพอ เรื่องนี้ ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI) แนะนำให้แบ่งบัญชีที่เรียกว่า เป็นบัญชี S.O.S หรือ “บัญชีฉุกเฉิน” ซึ่งเงินก้อนนี้สำรองไว้รับมือกับเรื่องราวไม่คาดฝันต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือตกงานกะทันหัน ซึ่งเงินก้อนนี้ควรมีติดบัญชี (หรือจริงๆ ก็ต้องมีติดบ้าน) ไว้สัก 6 เท่าของค่าใช้จ่าย เพราะอย่างน้อยหากเข้าตาจน เงินก้อนนี้ก็น่าจะพอเยียวยาชีวิตได้บ้าง
มีข้อมูลที่น่าสนใจที่สะท้อนทัศนคติของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ยังคงคิดว่า การถือครอง “เงินสด” นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจที่สุดแล้ว เป็นการสำรวจทัศนคติและความเชื่อมั่นในการลงทุนที่สำรวจโดยแมนูไลฟ์ เอเชีย
ผลสำรวจบอกว่า แม้ภูมิภาคเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า ในขณะนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน เนื่องจากตลาดยังอยู่ในภาวะผันผวนเกินไป ซึ่งคำตอบของนักลงทุนครอบคลุมสินทรัพย์ทุกประเภท ยกเว้นอสังหาริมทรัพย์
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้นักลงทุนในตลาดเอเชียส่วนใหญ่ยังคงถือครองเงินสดเป็นสินทรัพย์ในสัดส่วนที่สูง แม้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบคำถามทุกตลาด (ยกเว้นอินโดนีเซียและมาเลเซีย) จะไม่ค่อยเชื่อมั่นว่า การถือเงินสดในสัดส่วนสูงจะเป็นกลยุทธ์ลงทุนที่ดี ซึ่งคำตอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นในเอเชียที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ
ส่วนการบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตัวเองนั้น ผลสำรวจบอกว่า นักลงทุนในเอเชียกว่าครึ่งระบุว่า ยังสามารถเดินได้ตามแผนหรือเร็วกว่าแผนที่วางไว้ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง โดยมีเพียง 10% ที่ระบุว่า ก้าวเข้าสู่เป้าหมายทางการเงินได้ล่าช้ากว่ากำหนดมากจนไม่น่าจะสามารถกลับมาบรรลุเป้าหมายได้ตามกำหนด ส่วนสิ่งที่นักลงทุนระบุว่า ให้ความสำคัญสูงสุดสองอันดับแรก ได้แก่ เรียนรู้วิธีลงทุนเพิ่มเติม ตามด้วยความต้องการพัฒนาแผนการเงิน
จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตัวเองให้ได้ หรือจะมี “เงินสดติดบ้าน” ได้ ก็ต้องเริ่มต้นที่การออม ฟังดูเหมือนง่ายและทำไม่ได้ซักที ลองใช้ 7 วิธีที่ TSI แนะนำอีกทีว่าถ้าทำตามนี้จะสำเร็จหรือไม่ วิธีแรก ก็คือ ออมทีละน้อย ค่อยๆ ออมไม่ต้องรอให้มีเงินมากๆ แล้วจะออมมากๆ เพราะยิ่งเงินน้อย ก็ยิ่งต้องรีบออม
นอกจากจะออมทีละน้อยแล้ว กฎข้อ 2 ก็คือ เริ่มออมให้เร็วที่สุด เพื่อสร้าง Money Snowball ก้อนโตๆ จากระยะเวลาการออม 3. สร้าง “บัญชีต้องห้าม” เป็นบัญชีเงินออมโดยเฉพาะเพื่อลดการถอนเงินออกมาใช้ตามอำเภอใจ 4.กำหนดตารางการออม คือ ทำเป็นประจำจนเป็นนิสัย เช่น ทุกวันศุกร์ ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน 5.เปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นเงิน โดยใช้พรสวรรค์บวกความมุ่งมั่นเพื่อเพิ่มเงินออมและความสุขใจ 6.ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพื่อลดการฟุ้งซ่านจากความอยากได้และลดเวลาในการช็อปปิ้ง และ 7.เปรียบเทียบหาผลตอบแทนที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เงินออมต้องสึกหรอไปเพราะเงินเฟ้อ
เมื่อเริ่มออมได้ และมีเงินสดติดบ้านได้แล้ว ก็ต้องท่องไว้ว่า “เงินติดบ้าน” เป็นเงินที่เผื่อฉุกเฉิน S.O.S.จริงๆ ไม่ใช่เอามาใช้ในยามปกติแบบหน้าตาเฉยซะอีก
(เงินติดบ้าน : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น