เสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556 00:00:20 น.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตนอยากจะเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 2.75% เนื่องจากเห็นว่าระดับดังกล่าวสูงอย่างผิดธรรมชาติ โดยปัจจัยที่นำมาเปรียบเทียบ ก็ดูจากดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดไลบอนด์ของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.2-0.3% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นถือว่าสูงกว่าถึง 9 เท่า ถามว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องบริหารให้อยู่สูงมากขนาดนั้น

"ในส่วนของผู้ฝากเงินนั้น ยืนยันว่าแม้จะมีการเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่รัฐบาลก็ยังคำนึงถึงกลุ่มคนดังกล่าวเช่นเดียวกัน" นายกิตติรัตน์

สำหรับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนั้น เห็นว่าแม้จะต้องใช้เวลาในการชำระหนี้ 50 ปีข้างหน้า แต่ในระหว่างการก่อสร้างช่วง 7 ปีข้างหน้า เงินลงทุนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศเพิ่มสูงเป็น 100 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อม

นายกิตติรัตน์ กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการเสวนาวิชาการ เรื่อง "ระบบประกันรายได้เพื่อการชราภาพ : โอกาสและความยั่งยืน" ว่า ทางกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน มีเป้าหมายร่วมกันในการดูแลผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระให้สามารถออมและรัฐสมทบให้เป็นเป้าหมายเดียวกัน และผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระควรจะได้รับสิทธิ์เทียบเคียงกับกรณีลูกจ้างในระบบ ที่มีนายจ้างช่วยจ่ายเงินสมทบให้ และในปัจจุบันเราก็มีระบบของการออมเพื่อเตรียมตัวสำหรับผู้เกษียณอายุภายใต้กฎหมายเดิม คือผู้ประกันตนตามมาตรา 40 สำนักงานประกันสังคม แต่ดูเหมือนกลุ่มคนที่จะมีสิทธิ์ออมในระบบ ดังกล่าวก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับคนที่จะมีสิทธิ์ออมในระบบกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทุนใดๆ เริ่มออมตั้งแต่อายุ 15-60 ปี ดังนั้นตนมีความเป็นกังวลว่าคนที่มีอยู่ในระบบเดิม จะสามารถไปเป็นสมาชิกของ กอช.ใหม่หรือไม่ ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจน

โดยปัจจุบันการดำเนินการในระบบการออมเพื่อเตรียมการสำหรับการเกษียณอายุ ตามระบบของประกันสังคม มาตรา 40 นั้น ดูเหมือนจะยังไม่ประสพผลสำเร็จเท่าที่ควร โดยได้มีการประเมินคนที่ควรที่จะมีสิทธิ์ใช้ระบบการออมแบบผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ สามารถมีจำนวนใกล้ๆ 30 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีคนใช้สิทธิ์ในระบบทั้งแผน 1 และแผน 2 เพียงประมาณ 1.7 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าเพราะเหตุใดยอดสมาชิกจึงน้อย

"ทั้งกระทรวงแรงงานและกระทรวงการคลังเห็นตรงกันว่า ก่อนที่จะเริ่ม กอช.ควรที่จะทำตามมาตรการ 40 ให้ชัดเจนก่อน โดยเสนอเพิ่มทางเลือกที่ 3 เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการจะสนับสนุนการออมอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา กอช. ไม่เดิน ผมก็ให้ไปดูว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ไม่เดินเพราะของเก่ายังไม่เรียบร้อยก็ต้องไปดู และแก้ปัญหาเพื่อให้มีคนเข้ามาเป็นสมาชิกมากกว่า 1.7 ล้านคน เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอแนวทางที่ 3 การออมภายใต้มาตรา 40 ให้ ครม.ได้พิจารณาเดือน เม.ย.นี้ หลักๆ คือจะต้องทำเรื่องนี้ เพื่อสนับสนุนผู้ออมที่ทำอาชีพอิสระ โดยรัฐช่วยใส่เงินสมทบ และเป็นวิธีการทำงานที่ทำให้จำนวนของผู้ออมขยายมากขึ้น" นายกิตติรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้เมื่อดำเนินการปรับแก้ไขมาตรา 40 แล้วจะยกเลิกการออมแบบ กอช.หรือไม่นั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่อยากให้พูดกันไปไกลถึงตรงนั้น กฎหมายกว่าจะผ่านสภามานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงอยากให้ดูอย่างรอบคอบ ในแง่ของผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ออม ก็กำลังจะได้ออม และรัฐก็จะสมทบให้ โดยที่คนที่เกี่ยวข้องก็จะเกิดความมั่นใจและเกิดผลดีแน่นอน

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขเกี่ยวกับปัญหากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) นั้น ขณะนี้ได้ตกผลึกทางความคิดแล้ว โดยจะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.กบข. ซึ่งมีความมั่นใจว่าการแก้ไขดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่เคยเลือกเข้าเป็นสมาชิก กบข.ตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งจะสามารถไตร่ตรองและไม่กลายเป็นผู้ที่เสียเปรียบ หรือเสียสิทธิประโยชน์ ส่วนวิธีการดำเนินการจะเป็นอย่างไร ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอรักษากระบวนการดำเนินงานไว้ก่อน เพื่อรอเสนอ ครม.และเสนอเข้าที่ประชุมสภาฯ พิจารณา

นอกจากนั้นเพื่อดูแลข้าราชการที่ครบกำหนดเกษียณอายุหลังการทำงาน รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณสมทบให้กับกองทุน กบข.สัดส่วน 20% เข้าสมทบในกองทุน กบข. และคาดว่าในปี 2578 จะต้องใช้เงินดูแลข้าราชการเกษียณอายุสูงถึง 8 แสนล้านบาท รัฐบาลจึงวางแผนส่งเงินสมทบเข้ากองทุน Sinking Fund ของ กบข. เพื่อจัดสรรในงบประมาณปี 57 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท สะสมไปต่อเนื่อง
 
Real Time Economic Calendar provided by Investing.com.
Top