28 มี.ค.56 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีว่า? สาเหตุที่รัฐบาลไม่จัดการกู้ในระบบเนื่องจากงบประมาณไม่มี เพราะงบลงทุนน้อย แต่ภาระรายจ่ายมาก ดังจะเห็นได้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ที่มีงบลงทุนเพียง 18.7% คิดเป็นประมาณ 4 แสนล้านบาท โดยส่วนหนึ่งในนั้นจะต้องนำมาเป็นงบประมาณใช้หนี้ 40,000 ล้านบาท เพื่อให้งบลงทุนการพัฒนาประเทศตามระบบงบประมาณปกติมีน้อยเกินไปและขาดความต่อเนื่อง


“ยืนยันว่า การเสนอพ.ร.บ.ดังกล่าว นั้น ไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นการปิดระบบการตรวจสอบทุจริต เพราะก่อนการเสนอกฎหมายเข้าสภาฯ ได้มีการปรึกษากับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางยุทธศาสตร์ และการวางโครงการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน เพราะรัฐบาลตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำในอาเซียน ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเท่านั้น”

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ในอดีตรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีการกู้เงินผ่าน พรบ.แบบเดียวกัน และคณะกรรมาการกฤษฎีการในขณะนั้น โดยมี นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง เป็นผู้ส่งเรื่องก็มีความเห็นมาว่า สามารถเสนอกฎหมาย พรบ.กู้เงินได้ และรัฐบาลชุดนี้ก็ทำในลักษณะเดียวกัน และคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีความเห็นลงมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลคิดเอาเอง

รองนายกฯ กล่าวว่า การกู้เงินของรัฐบาลมีโครงการรองรับว่าจะทำอะไรบ้าง แตกต่างกับรัฐบาลในอดีตที่ได้กู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุนโดยไม่มีโครงการมารองรับ จนสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและถูกคณะกรรมการป้องกันปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรวจสอบจนเหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ส่วนที่รัฐบาลระบุไว้เมื่อตอนหาเสียงว่าจะไม่สร้างหนี้นั้น หมายถึงจะไม่สร้างหนี้จากการทุจริต แต่หนี้จำนวนดังกล่าวที่รัฐบาลจะดำเนินการนั้นเป็นการสร้างหนี้เพื่อการลงทุน

“แนวทางในการล้างหนี้ของพรรคเพื่อไทยคือ การหาเงินเพื่อไปขยายการลงทุน ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจเติบโตขื้นหนี้ก็จะหายไปเอง ผมกล้าพูดว่า กม.กู้เงินของรัฐบาลนั้นถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ระบุโครงการอย่างละเอียดและสามารถการันตีความโปร่งใสได้มากที่สุด”
 
Real Time Economic Calendar provided by Investing.com.
Top