24 มี.ค.56 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ร่างของ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่จะเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28-29 มี.ค.นั้น มีเอกสารเพียงแค่ 5 หน้า และ 2 หน้าหลังเป็นบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าโครงการใดจะสร้างที่ไหน เวลาใด ความยาวเท่าไหร่ เป็นการลักไก่ที่จะก่อให้เกิดการโยกงบประมาณมหาศาลในประเทศ โดยมีการกำหนดไว้ 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1.ยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า3.5 แสนล้าน 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1.04 ล้านล้านบาท และ 3.ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว 5.9 แสนล้าน และอีกกว่า 9 พันล้านสำหรับการสนับสนุนดำเนินการตามสามยุทธศาสตร์ดังกล่าว
แต่ในบัญชีแนบท้ายกลับไม่มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดำเนินโครงการ โดยรัฐบาลใช้วิธีการแยกเป็นเอกสารประกอบอีกกว่า 200 หน้าและจะแจกให้กับ ส.ส.ได้พิจารณาในวันพุธที่ 27 มีนาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดช่องให้มีการโยกงบประมาณได้ตามใจชอบ โดยที่สภาจะไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบ เพราะเมื่อสภาผ่านความเห็นชอบกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว ก็จะไม่มีการกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาอีกว่ามีการดำเนินการโครงการไปอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่จะมีการตรวจสอบทุกปีว่า งบประมาณที่ถูกตั้งไว้มีการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรกหรือไม่ จึงเปรียบเสมือนการตีเช็คเปล่าให้กระทรวงการคลัง เป็นตั๋วเดินทางเที่ยวเดียวซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายต่อสถานะการคลังของประเทศ
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า จากการพิจารณารายละเอียดยังพบว่า รัฐบาลโกหกประชาชนที่บอกว่าการกู้เงินครั้งนี้เพื่อทำโครงการกระดูกสันหลังของชาติจึงมีความจำเป็นต้องกู้มหาศาล แต่ในรายละเอียดกลับมีการยัดไส้ในยุทธศาสตร์ที่สาม ในเรื่องการสร้างถนนที่มีการเติมแนบท้ายว่า รวมทั้งพัฒนาพื้นที่เกษตร อุตสาหกรรมและท่องเที่ยว ซึ่งเท่ากับว่าจะมีการทำถนนแบบเส้นเลือดฝอย ใช้งบจากเงินกู้ถึง 5 แสนกว่าล้าน จึงเชื่อว่านายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม จะถูกส.ส.พรรคเพื่อไทยรุมทึ้งงบประมาณในส่วนนี้แน่นอน
“กฎหมายกู้เงินจะทำให้การใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระบบงบประมาณของประเทศอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบยากมาก อีกทั้งการระบุเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะสร้างได้ทุกเส้นทางตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง เพราะสามารถปรับเปลี่ยนโครงการได้ตลอดเวลา จากการไม่ระบุให้ชัดเจนในบัญชีแนบท้าย ซึ่งถือเป็นการตบตาประชาชนโดยทราบมาว่าข้าราชการกระทรวงการคลังได้นำเสนอให้แนบเอกสารประกอบที่ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการไว้ในบัญชีแนบท้าย แต่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้ตัดออกไปเป็นเอกสารประกอบแทนโดยอ้างว่าเพื่อความคล่องตัว แต่ตนคิดว่าน่าจะทำเพื่อความคล่องคอในการทุจริตมากกว่าด้วย”